วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ไมซอร์

ไมซอร์ - ไมซุรุ


(Mysore)


เรามาล่องใต้เยือนอดีตเมืองหลวงเก่า กันเถอะ ที่นี่สวยและไฟเยอะมาก ทำไมฉันรู้สึกแสบตากับรูปปก55 คือแบบมันอลังการงานสร้างหนักมากอ้ะนะ สิ้นเดือนนี่ค่าไฟคงสูงน่าดู รวยใช่ย่อยนะอินเดียเนี่ย แค่สวยยังไม่พองั้นเรามารู้จักประวัติของ ไมซอร์กันเต๊อะ...
ไมวอร์เนี่ยพี่เค้าเพิ่งเปลี่ยนชื่อเป็น "ไมซุรุ" (Mysuru) ไมซอร์อยู่ในรัฐกรณาฏกะ รัฐฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย อยู่ห่างจากบังกาลอร์ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 140 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ราว 2 ชั่วโมงครึ่ง การท่องเที่ยวถือเป็น
อุตสาหกรรมชั้นนำของไมซอร์ แต่การเติบโตของธุรกิจไอทีทำให้เมืองแห่งนี้ เป็นศูนย์ส่งออกซอฟต์แวร์อันดับ 2 ของรัฐกรณาฏกะ รองจากเมืองบังกาลอร์ แม้ว่าจะไม่มีสนามบิน แต่ระบบการรถไฟและถนนหนทางที่ดี ทำให้เดินทางไปยังเมืองนี้ได้ไม่ยาก ก่อนถึงปีพ.ศ.2490 ที่อินเดียประกาศเอกราชจากอังกฤษ ไมซอร์ปกครองด้วยราชวงศ์วอเดยา (Wodeyar) ผู้ปกครองอาณาจักรวิจายานะกา (Vijayanagar) ราชวงศ์นี้มีอิทธิพลทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นมรดกถึงปัจจุบัน โดดเด่นด้วยสไตล์การระบายสี พรม และผ้าไหมส่าหรี ในช่วงงานเทศกาลฉลองพระแม่เจ้า หรือ ทสาระ หรือ เดซารา เทศกาลใหญ่ของชาวฮินดู ในเดือน กันยายน และ ตุลาคม เมืองแห่งนี้มีสมญาว่า “ซิตี้ ออฟ พาเลซ” เพราะมีพระราชวังโบราณที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง ซึ่งพระราชวังที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดชมคือ “พระราชวังไมซอร์” หรือพระราชวังแห่งมหาราชา ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง ท่ามกลางสวนหย่อมร่มรื่น
กษัตริย์ของราชวงศ์วอเดยา ทรงสั่งให้สร้างพระราชวังแห่งนี้ขึ้นสมัยคริสตศตวรรษที่ 14 ในปีค.ศ.1683 หรือตรงกับพ.ศ.2181 เกิดฟ้าผ่าทำลายพระราชวังไปส่วนหนึ่ง จนต้องบูรณะครั้งใหญ่ พร้อมกับการต่อเติมขยายบริเวณ แต่ช่วงคริสตศวรรษที่ 18 ที่ถูกผู้ปกครองมุสลิมยึดครอง วังถูกทิ้งให้ทรุดโทรม จนปีค.ศ.1793 เมื่อราชวงศ์ฟื้นฟูกลับมา จึงทุบทำลายและสร้างวังขึ้นใหม่ในที่เดิม ต่อมาพระราชวังถูกเพลิงเผาผลาญในงานอภิเษกของเจ้าหญิงชายาลักษมี ในปี 1803 พระราชินีในตอนนั้น ทรงมีรับสั่งให้นายเฮนรี่ เออร์วิน สถาปนิกชาวอังกฤษ ออกแบบก่อสร้างวังใหม่ในบริเวณ โดยให้ผสมผสานสถาปัตยกรรมหลากหลายรูปแบบไว้ด้วยกัน สร้างเสร็จในปีค.ศ.1912 หรือพ.ศ.2455 กษัตริย์แห่งราชวงศ์วอเดยาเป็นผู้กำหนดเมืองแห่งวัฒนธรรมทางตอนใต้ของมัย ซอร์ (Mysore) พระราชวังหรูหราและโบสถ์เซ็นต์ ฟิโลมีน่าซึ่งมีสถาปัตยกรรมแบบโกธิคเซนต์ที่มียอดแหลม 175 ฟุต สถาบันท้องถิ่นรักษาดนตรีและการเต้นรำแบบการะนาตักให้ยังคงอยู่ในสายตา สาธารณชน วัดศตวรรษที่ 11 ที่โดดเด่นตั้งตระหง่านอยู่บนขั้นบันได 1,000 ในเขตนอกเมือง แต่งตัวให้โก้แล้วไปปาร์ตี้แบบร็อคสตาร์เพื่อเฉลิม
ฉลองมรดกมัยซอร์ (Mysore) ในช่วงเทศกาลดัสเซห์รา (Dussehra) ที่แสนรื่นเริง ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลา 10 วันในเดือนตุลาคม / พฤศจิกายน พระราชวังมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า อินโด-ซาราเซนิก ผสมผสานศิลปะฮินดู มุสลิม ราชพุต และโกธิค ก่อสร้างด้วยหิน 3 ชั้น โดมหินอ่อน มีหอคอย 5 ชั้น และล้อมรอบด้วยสวนขนาดใหญ่ ภายในพระราชวังหลักประกอบด้วยท้องพระโรง ที่ประทับ ที่มีภาพวาดจัดแสดงตลอดทางเดิน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวอดีตแก่คนรุ่นหลัง การจัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ และของกำนัลที่มีผู้นำมาถวายแก่กษัตริย์สมัยนั้น พร้อมยลความงดงามของสถาปัตยกรรมสมัยก่อน งานแกะสลักเสา ประตู งานจิตรกรรมต่างๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในตัวตำหนัก บังกาลอร์เป็นเมืองหลวงของรัฐกรณาฏกะ หรือกรรณาฎัก คือรัฐที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย ติดต่อกับมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตก ชื่อรัฐมาจากภาษากันนาดาแปลว่าแผ่นดินที่ถูกยกขึ้นสูงหรือ
เขตดินดำ สถาปนารัฐเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ในชื่อรัฐไมซอร์ เปลี่ยนมาใช้ชื่อปัจจุบันเมื่อ พ.ศ. 2516 รัฐกรณาฏกะ มีแหล่งท่องเที่ยวตึ้งแต่หาดทรายขาว ซากเมืองโบราณฮัมปี และพระราชวังไมซอร์ รัฐกรณาฏกะ เดิมชื่อว่าไมซอร์ เพิ่งมาเปลี่ยนชื่อเมื่อปี 1973 นี้ เท่านั้น รัฐกรณาฏกะ มีพื้นที่คิดเป็น 1 ใน 16 ของอินเดียทั้งประเทศ มีประชากร 48 ล้านคน รัฐกรณาฏกะ มีลักษณะภูมิประเทศที่โดดเด่น ประกอบด้วยพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันอุดมสมบูรณ์ทอดตัวอยู่ทางตะวันตก ขนานไปกับทะเลอาระเบียนที่มีแม่น้ำไหลมาออกหลายสาย ในฤดูมรสุม ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน น้ำในแม่น้ำจะเอ่อล้นขึ้นท่วมตลิ่ง ถัดไปทางด้านหลังคือเทือกเขาฆาตตะวันตก พื้นที่บริเวณลาดเนินเขาได้รับปริมาณน้ำฝนปีละมาๆจึงมีป่าเมืองร้อนขึ้นอยู่หนาทึบอุดมไปด้วยไม้สัก ไม้เนื้อแดง และป่าไผ่ ในขณะที่ยอดเขาทำหน้าที่เป็นปราการกั้นเมฆฝนไม่ให้ลอยข้ามไปตกยังที่ราบสูงเดกข่านทางตะวันออก วกมาทางตะวันตกเฉียงใต้เป็นเขตโกทาคุที่มีทั้งหุบเขาและขุนเขาสลับซับซ้อน ป่าฝนเขตร้อนในเทือกเขาฆาตทางตอนใต้เป็นถิ่นที่อยู่ของช้างป่า วัวป่า และลิงหายาว จัดเป็นเขตที่ได้รับปริมาณน้ำฝนมากที่สุดเขตหนึ่งในอินเดีย ปัจจุบัน
ปัญหาการลักลอบตัดไม้จันทร์หอมและโจรผู้ร้ายชุกชุมทำให้รัฐ ต้องตรากฏห้ามคนเข้าไปท่องเที่ยวตามอุทยานแห่งชาติทางตอนใต้ของรัฐกรณาฏกะ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเขตนี้คือ น้ำตกจ๊อก ที่เกิดจากแม่น้ำศาราวาตี เป็นน้ำตกสี่ชั้น ฤดูหนาวจะสวยเป็นพิเศา ฤดูร้อนไม่ค่อยสวยเพราะน้ำน้อย ใกล้ๆกันมีหน่วยงานการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หนเนมารฑุรับจัดทัวร์พาไปเล่นกีฬาทางน้ำ ตำนาน อินเดียใต้ สี่รัฐปลายคาบสมุทร (อ่านแล้วสนุกดีครับ เลยเอาเรื่องราวมาฝากเพื่อนๆ) ในระยะก่อนจะถึงสมัยของพุทธศาสนานั้น แม้อาณาจักรและแคว้นต่างๆ ทั้งใหญ่น้อยในอินเดียตอนเหนือจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แต่บุคคลรุ่นหลังก็ยังรู้ความเป็นมานั้นๆได้ตลอด ไม่จากตำนานก็จากพระคัมภีร์ต่างๆ หรือแม้แต่จากพุทธประวัติ ซึ่งในขณะเดียวกัน ดินแดนทางใต้ที่ยื่นล้ำเป็นรูปสามเหลี่ยมใหญ่โตไปในคาบสมุทรอินเดียนั้น ที่เต็มไปด้วยอาณาจักรน้อยใหญ่กลับไม่มีประวัติความเป็นมาและเป็นไปให้รู้กันแน่ชัด ว่าปวงชนที่ไปตั้งหลักแหล่งอยู่ ณ ดินแดนที่เรียกว่าอินเดียตอนใต้ในปัจจุบัน ตั้งแต่ครั้งโบราณเป็นผู้ที่อพยพมาจากทางใดและนำเอาอารยธรรมมาสู่ดินแดนนี้จากที่ใด นักโบราณคดีได้แต่สันนิษฐานว่า พวกอารยันบางพวกที่อพยพมาพร้อมๆกันกับพวกที่เข้ารุกรานอินเดียตอนเหนือนั่นเอง ได้แยกทางและอพยพลงมาสู่ทางตอนใต้ จนในที่สุดก็ข้าม ภูเขาวินธัย (Vindhya) แล้วเดินทางข้าม แม่น้ำนาร์บาดา (Narbada) และเทือกเขาสัตปุระเข้ามาสู่ ที่ราบสูงเดคคาน (Deccan plateau)
ที่อยู่บริเวณต้น แม่น้ำโคธาวารี (Codavari) และ แม่น้ำกฤษณา (Krishna) ปะปนกับพลเมืองดั้งเดิมของพื้นที่ โดยยึดเอาการบูชาเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพเป็นหลัก ต่อมานักเดินเรือชาวฟินิเซี่ยนและอาหรับที่กล้าเดินเรือมาค้าขายกับดินแดนชมพูทวีปตอนล่าง ก็ได้นำเอาวัฒนธรรมที่มีรูปแบบแปลกใหม่มาปะปนกับอารยธรรมดั้งเดิม เกิดเป็นอารยธรรมอย่างใหม่ดังที่ได้เห็นกันอยู่แม้ในปัจจุบัน ผิดแผกแตกต่างไปจากชนในดินแดนตอนเหนือ อินเดียตอนใต้นี้ในภายหลังแม้พระเจ้าอโศกมหาราชผู้เกรียงไกร ก็ไม่อาจยกทัพมากวาดล้างได้ถึงดังที่กล่าวมาแล้ว ในครั้งกระโน้น กลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำคงคาในดินแดนตอนเหนือได้อาศัยการเอ่อท้นของน้ำในฤดูใบไม้ผลิเป็นประโยชน์ในการกสิกรรม แต่ในที่ราบสูงเดคคานอันกว้างใหญ่ของอินเดียตอนใต้ กลุ่มชนกลับได้อาศัยลมมรสุมพัดพาเอาฝนเข้ามาสู่ที่ราบ
ทำให้ดินอันแข็งดุจหินกลับกลายเป็นโคลนเหลวเหมาะแก่การเพาะปลูก ทำให้เกิดมีเทศกาลของตนเองขึ้นเพื่อต้อนรับฤดูกาลแห่งการเพาะปลูกของปี เป็นดังนี้มากว่า 2 พันปีแล้วครับ ครั้นต่อมา เมื่อ สกุลจันทวงศ์ ในอินเดียตอนเหนือเกิดความวุ่นวายแยกกันเป็นสกุล ยาทพ และ โปรพ โดยกษัตริย์ยาทพปกครองดินแดนเล็กๆอยู่ที่ริมแม่น้ำยมนา แต่เชื้อสาย โปรพ นั้น เกิดแตกแยกเป็น 2 ราชวงศ์ คือราชวงศ์ ปาณฑพ ปกครอง หัสดินปุระ กับพวก โกรพ ปกครอง นครอินทรปรัสก อยู่ที่ริมแม่น้ำยมนา ทั้งสองวงศ์นี้เกิดแย่งชิงความเป็นใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดการรบพุ่งกันเองที่เรียกว่า มหภารตยุทธ (Mahabharata) ซึ่งมีผู้เอามาแต่งเป็นกาพย์หรือ Epic ชั้นเยี่ยมเรื่องหนึ่งของโลกนั่นเอง ราชวงศ์ปาณฑพได้รุกรบลงมายังภาคใต้ และสถาปนาตนเป็นใหญ่ขึ้นเป็นราชวงศ์แรก หลังจากนั้นก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์เป็นราชวงศ์ โจฬะ และ จีระ แต่ก็ครองอำนาจอยู่ไม่นาน ในที่สุดก็มีการเปลี่ยนราชวงศ์เป็นราชวงศ์ ปัลลวะ ตั้งแต่ตอนต้นพุทธกาลราชวงศ์นี้เป็นใหญ่อยู่ในอินเดีย ต่อมาอีกหลายร้อยปีครอบครองดินแดนทางภาคใต้ของอินเดีย ซึ่งในปัจจุบันคือ รัฐอันตระประเทศ (Andhrapradesh) การนานตกะ (Karnataka) หรือ รัฐไมซอร์ (Mysore) ในปัจจุบัน รัฐเคราลา (Kerala) ตอนบนและส่วนเหนือของ รัฐมัทราส (Madas) หรือ ทมิฬนาดู (Tamilnadu) และตอนใต้ของ แคว้นมหาราชตรา ในปัจจุบัน แต่มิใช่
ว่าราชวงศ์ ปัลลวะ จะครองอำนาจได้ตลอดดินแดนทางภาคใต้ของอินเดียเลยนะครับ ในบางยุคก็กลับมีแคว้นเล็กๆ บางแคว้นแข็งเมืองขึ้นมาได้เหมือนกัน หรือแม้แต่ตอนปลายสุดของคาบสมุทรอินเดีย คือ รัฐทมิฬนาดู และ รัฐเคราลา ก็ไม่ได้ตกอยู่ในอำนาจของราชวงศ์ปัลลวะ ซึ่งตั้งราชธานีอยู่ที่ เมืองมัลวาร์ (Malvar) หรือปัลลวะอยู่ตลอดเวลา ถึงกระนั้นกษัตริย์บางพระองค์ของราชวงศ์นี้ก็ยังทรงอานุภาพมากในราวศตวรรษที่ 6 ถึงศตวรรษที่ 7 กษัตริย์ซึ่งทรงพระนามว่า นรสิงห์-วารมันกานจี (ค.ศ.630-668) สามารถปราบปราม แคว้นจาลุกย์ ลงได้เมื่อราว ค.ศ.640 ทำให้อาณาจักรปัลลวะมีอำนาจสูงมาก
ทั้งหมดนี้ ทำให้เราทราบว่าในอินเดียตอนใต้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ถึง 6 มีแคว้นเล็กแคว้นน้อยอยู่มากมาย ทำให้นักโบราณคดีต้องคลำประวัติของอาณาจักรในอินเดียตอนใต้กันให้วุ่น เพราะบางทีก็มีโบราณสถานมาโผล่ให้เห็นโดยไม่รู้ว่าใครมาสร้างไว้ อย่างเช่นหมู่โบราณสถานที่เรียกว่า มามัลละปุรัม และ มหาบาลีปุรัม อันอยู่ในบริเวณที่เคยเป็นเมืองท่าของอาณาจักรปัลลวะทางฝั่งทะเลตะวันออกใกล้ๆ เมืองไมโรโปเร (Myropore) ซึ่งได้กลายเป็นที่หลบซ่อนของ กษัตริย์ราชสิงหะนรสิงห์วรมานันที่ 2 (ค.ศ.700-728) อันเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของอาณาจักรปัลลวะ หลังจากอาณาจักรล่มสลายลง เพราะ อาณาจักร
โจระ และ จาลุกย์ ร่วมมือกันต่อสู้และทำลายอาณาจักร ปัลลวะ ลง จนกษัตริย์ราชสิงหะต้องหลบมาอยู่ไกลถึงคนละฟากฝั่งของคาบสมุทรอินเดีย และมาสลักหมู่เทวสถานขนาดเล็กสำหรับบูชาพระเจ้าคือพระวิษณุไว้มากมายที่ริมทะเล ต่อมาได้ปรากฎว่ามีผู้ตามมาสลักคำสาปแช่งซ้ำไว้อีก หมู่โบราณสถานเหล่านี้นี่เองที่ขึ้นชื่อลือชาไปทั่วโลกในรูปแบบการสลักหิน สิ่งสลักเก่าแก่ที่สุดมีอายุราวศตวรรษที่ 3 คงเป็นเพราะอยู่ไกลและพ่ายแพ้ต่อการสู้รบหมู่เทวสถานจึงมีขนาดเล็กดังปรากฎอยู่ให้เห็นครับ และที่ตราตรึงบรรดานักสำรวจทั้งหลาย บริเวณดินแดนแห่งอินเดียตอนใต้ ถึงขนาดสำรวจแล้วได้พิมพ์เรื่องราวของอาณาจักรที่สำรวจพบขึ้นเป็นหนังสือเล่มใหญ่ทีเดียว คือเรื่องราวของ อาณาจักรวิจายะนคร (Vijayanagara) ซึ่งนักโบราณคดีอินเดียเองได้ลงมือสำรวจเมื่อ ค.ศ.1970 หลังจากที่ฝรั่งแอบไปทำการสำรวจจนเกลี้ยงเมืองแล้ว แต่บังเอิญมีศิลาสลักจมดินอยู่จึงพอจะทราบความเป็นมาของอาณาจักรอันใหญ่โตซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่งามแปลกตาซุกซ่อนอยู่ในป่าใกล้ เมืองฮอสเปต (Hospet) ใน รัฐไมซอร์ บริเวณดินแดนที่มีชื่อในปัจจุบันนี้เรียกว่า หมู่บ้านฮามไป (Hampi) ซึ่งเป็นหมู่บ้านโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ซึ่งต่อมาได้เจริญจนสร้างเป็นเมืองขึ้นในศตวรรษที่ 8 โดยวิธีตามตำรา คือสร้างโบสถ์บูชาเทพเจ้าขึ้นก่อน ที่ริม แม่น้ำตันกภัทรา (Tungabhadra) เพื่อบูชาเทพเจ้าที่ชาวพื้นที่เดิมนับถือมากที่สุด คือ พระเทวีปัมปา (Pampa) ซึ่งเป็นมเหสีของ เทพเจ้าวิรุฬปักษ์ โลกบาล
ประจำทิศตะวันตกซึ่งอำนวยน้ำฝนให้พืชพันธุ์ธัญญาหารต่อพวกเขา ต่อจากนั้น บริเวณนี้ก็มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ มีกษัตริย์ปกครอง สร้างโบราณสถานที่ใหญ่โตงดงามและกำแพงเมืองขึ้นโดยรอบบริเวณนี้เจริญขึ้นจนถึงขีดสูงสุด มีเมืองขึ้นอยู่ในอาณาจักรถึงกว่า 30 เมืองและเจริญมาโดยสม่ำเสมอ แม้กาลเวลาจะล่วงไปจนถึงศตวรรษที่ 15 ในสมัย กษัตริย์กฤษณเทพ (Krishnadeva) ค.ศ.1509-1529 เคยมีชาวยุโรปดั้นด้นเข้าไปดูแล้วกลับออกมาเล่าว่า เป็นนครที่งามสง่า ร่ำรวย แต่งกายด้วยอัญมณีมีค่า เทวสถานและพระราชวังล้วนประดับประดาด้วยทอง มีศิลปะและสถาปัตยกรรมอันงามแปลกตา ข่าวนี้ทำเอาผู้ที่ได้รับฟังหูผึ่งแต่ไม่สามารถจะดั้นด้นฝ่าป่าเข้าไปได้ จนในที่สุดในศตวรรษที่ 20 นี้เอง มีผู้ดั้นด้นเข้าไปจนถึงวิชัยนครจนได้ ทว่าไม่มีวิชัยนครอันเต็มไปด้วยผู้คนที่ร่ำรวยหรือปราสาทราชฐานอันมี
ยอดหุ้มด้วยทองคำเหลืออยู่เลย ทั่วทั้งเมืองมีแต่ซากปรักหักพัง เหลือแต่สิ่งก่อสร้างที่ทำด้วยหินรูปร่างแปลกแต่งดงาม ไม่มีแม้แต่เกล็ดของทองสักชิ้น!! เกิดอะไรขึ้นกับเมืองแห่งความร่ำรวยเช่นนี้หรือ? เรื่องราวของ วิชัยนคร นี้กลายเป็นเรื่องที่ดังที่สุดในอินเดียตอนใต้ มีการยกขบวนนักโบราณคดีเข้าไปขุดสำรวจอยู่หลายครั้งหลายครา พร้อมกับศึกษาจารึกทั้งหลายของนครที่มีผู้นำไปจากเมือง ในที่สุดก็รู้ว่าความลึกลับของเหตุการณ์ที่เกิดแก่นครนี้เป็นอย่างไร เหตุมาจากความร่ำรวยของอาณาจักรวิจายะนัคราหรือวิชัยนครนี่เอง ทำให้อาณาจักรมุสลิมทั้งหลายที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเดคคานอิจฉาอยากได้มาไว้ใน
ครอบครอง เกิดการรบพุ่งกันอยู่เสมอจนถึงสมัย กษัตริย์อชยุตาเทพ (Achyutadeva) ขึ้นครองราชย์ อาณาจักรมุสลิม ที่อยู่ทางเหนือก็รวมกำลังกันเข้าได้ถึง 5 อาณาจักร ก็ยกเข้าตีวิชัยนครเมื่อ คศ.1564 หลังจากต่อสู้กันอยู่ถึง 5 เดือน ในต้นปี ค.ศ.1565 ทัพของวิชัยนครก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ กองทัพมุสลิมที่กำลังฮึกเหิมรุกตามมาถึงกำแพงกรุงวิชัยนครและด้วยอำนาจของดินปืน กำแพงนครอันแข็งแกร่ง
มากกว่า 800 ปีก็พังพินาศลงแสงไฟที่ลุกโชติช่วง ควันไฟที่ลอยค้าง เสียงโห่ฮึก และเสียงร้องเซ็งแซ่ของชาววิชัยนครยามที่เมืองแตกดังขรมไปทั่ว ทัพมุสลิมเข้าไปในเมืองทำลายสถานที่ เก็บทรัพย์ ฆ่าฟันและจับเชลย ทิ้งวิชัยนครให้เหลือแต่ซากหักพัง ปราศจากผู้คน กลายเป็นเมืองร้างอยู่กลางป่า จนในที่สุดชื่อและเรื่องราวของวิชัยนครก็หายสาบสูญไปจากประวัติอินเดียตอนใต้ถึงเกือบ 500 ปี ส่วนกษัตริย์อชยุตาเทพและชาวเมืองส่วนหนึ่งนั้นหนีไปได้ เดินทางไปตั้งอาณาจักรเล็กๆอยู่ ณ ปลายสุดของคาบสมุทร และสิ้นสุดวงศ์ลงในราวศตวรรษที่ 18 ส่วนพวกปัลลวะอันเป็นชาติดั้งเดิมชาติหนึ่งในอินเดีย
ใต้นั้น หลังจากถูก อาณาจักรจาลุกย์ (Chalukyas) ปราบปรามลงได้ในศตวรรษที่ 7 แล้ว ราชวงศ์ปัลลวะก็เสื่อมลงเหลือแต่อำนาจขนาดเจ้าเมืองเท่านั้น ปกครองอาณาจักรมาจนถึงศตวรรษที่ 13 โดยเสื่อมความเจริญลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็กลายเป็นแค่เมืองที่มีขุนนางธรรมดาปกครองเท่านั้น ในที่สุดพวกปัลลวะนี้ก็สูญหายไป ส่วนอาณาจักรจาลุกย์นั้นก็ครองความเป็นใหญ่อยู่เหนือทุ่งราบเดคคานจาก ค.ศ.753 จนถึง ค.ศ.973 โดยมี เมืองมัลเกตุ (Malkhed) ซึ่งในปัจจุบันนี้คือ เมืองกัลบารกา (Gulbarga) เป็นเมืองหลวง ยังมีซากของเมืองโบราณสถาน โบสถ์ สระน้ำ ปรากฎให้เห็นอยู่ ณ เมืองดังกล่าวที่ห่างไปทาง
ตะวันตกของ เมืองไฮเดอราบัด ราว 160 กม. เมืองมัลเกตุของอาณาจักรจาลุกย์นั้น ตั้งอยู่กลางประเทศอินเดียพอดี อยู่ทางตอนเหนือของรัฐอันตระประเทศ ดังนั้นอาณาจักรนี้จึงสามารถแผ่อำนาจไปได้ทั้งภาคเหนือและใต้ของอินเดีย สิ่งก่อสร้างของอาณาจักรนี้เป็นแบบลูกผสม นัครา และ ดราวิท หรือ ทราวิท (Nagara & Dravida) ชื่อของเมืองอันเป็นประดุจเมืองหลวงในครั้งนั้นคือ บาดามี (Badami) เนื่องจากอาณาจักรนี้เป็นทางผ่านของการแพร่ขยายอำนาจทั้งของอาณาจักรทางตอนเหนือและใต้ อาณาจักรนี้ซึ่งบางทีก็เรียกว่า อาณาจักร การนาตกะ (Karnataka) เป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งยิ่ง โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 7 โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่บาดามีอยู่ราว 200 กว่าปี อาจเป็นเพราะชาวจาลุกย์ต้องผจญกับการศึกษาสงครามอยู่เป็นประจำ จึงนิยมแกะสลักสถานที่สำคัญๆเป็นถ้ำเข้าไปในหินที่ต้องก่อต้องสร้าง ก็ตัดเอาหินมาสร้างอย่างแข็งแรง โดยเฉพาะตัวนครบาดามีนั้น ขุดทำเป็นถ้ำและป้อมเข้าไปในหมู่ของภูเขาทีเดียว แม้แต่เทวสถานทั้งหลายก็ขุดเจาะกันเข้าไปในภูเขา ซึ่งนักโบราณคดี
กล่าวว่ามีลักษณะงดงามและดีเป็นพิเศษ และว่าการแกะสลักที่ถ้ำการนาตกะและไกลาสนาถาที่เอลโรล่าในมหาราชตระ อาจเอาตัวอย่างไปจากถ้ำบาดามีนี้ นับว่าฝีมือของช่างสลักหินของเมืองจาลุกย์นี้ยอดเยี่ยมมากทีเดียว ในโบสถ์ของเมืองจาลุกย์ สลักเรื่องราวที่มีอยู่ทั้งใน มหาภารตะ รามายณะ และ ปัญจะตันตระ (Panchatantra) ยิ่งโบสถ์พระศิวะในถ้ำสนาติคงจะได้ทำการสลักขึ้นในระยะที่ราชวงศ์มีอำนาจเต็มเปี่ยมทีเดียวครับ บรรดาโบสถ์วิหารหินทั้งหลายเหล่านี้ถูกสร้างเข้าในภูเขาทั้งลูก มีทั้งป้อมปราการ และสระเก็บน้ำเพราะใกล้ คุ้งน้ำกากินา (Kagina) ทำให้สามารถมองเห็นภูมิประเทศได้จากกำแพงทั้ง 2 ด้าน กำแพงยังทำระดับกำแพงทางผ่านไปในป้อมก็แสนจะคดเคี้ยว ภายในถ้ำที่มีถึง 3 ถ้ำนี้ มีเสาค้ำที่สลักขึ้นจากเนื้อหินด้วยลวดลายลูกผสมที่สวยงามประหลาด ระเบียงและผนังล้วนสลักภาพนูนสูงเป็นเรื่องราวของเทพเจ้า โดยเฉพาะในถ้ำใหญ่ที่มีรูปสลักพระวิษณุประทับนั่งบนบัลลังค์นาค กรทั้งสี่ถืออาวุธ งดงามที่สุด ส่วนหมู่เทวสถานนั้นก็เรียงรายสลับไปกับอาคาร ปรากฎให้เห็นเด่นบนภูเขาเดียวกับเทวสถานของพระวิษณุเช่นกัน นับว่างดงามแปลกตาด้วยศิลปะที่ไม่เหมือนใคร แต่อาณาจักรจาลุกย์ก็หาได้ยืนยงคงอยู่ได้ตลอดไปไม่ เมื่อล่วงมาถึงสมัยมุสลิมเรืองอำนาจ อาณาจักรจาลุกย์ก็ต้องถึงแก่กาลล่มสลายลงในที่สุดในราวศตวรรษที่ 10 บรรดาดินแดนของอินเดียภาคใต้ก็ถูกทำลายลงด้วยอานุภาพของราชวงศ์โมกุลร่วมกับอาณาจักรมุสลิมทั้งหลาย กาลเวลาไม่เคยหยุดคอยอารยธรรมความเจริญ เพราะมันย่อมกลืนเสียซึ่งทุกสิ่งแม้ตัวมันเอง ดังนั้นความรุ่งเรืองที่เคยฉายแสดงในหมู่เขาหมู่ถ้ำ และปรางค์ปราในอินเดียตอนใต้ก็ร่วงโรยลงเหลือแต่ซากของอารยธรรมที่บอกให้รู้ว่า ในครั้งหนึ่งของ "เวลา" นั้น ณ ที่นี้เคยเรืองรองด้วยอำนาจที่อาจเนรมิตให้เพิงผาอันเต็มไปด้วยหินแข็ง กลับกลายเป็นปูชนียสถานและรูปสลักที่เหลืออยู่












video


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แปงกอง ทะเลสาบแห่งฝันและศรัทธา

แ ป ง ก อ ง ...ทะเลสาบแห่งฝันและศรัทธา เป็นสถานที่ ที่มีทัศนียภาพของสองฤดูที่มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป อยากรู้ว่าสวยงามขนาดไหน ทำ...